เคยไหมครับ กับเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ได้ยินมาแล้วรู้สึกว่า "เหลือเชื่อ" หรือ "จะเป็นไปได้อย่างไร"
คุณย่าของผม (สุปราณี แต่สุขะวัฒน์ - โง้วเง็กจู - 吴 玉 珠) เมื่อวันก่อนท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับละครเรื่องเปาบุ้นจิ้น ตอนประหารราชบุตรเขย เฉินซื่อเหม่ย เกี่ยวกับการที่อดีตเมียของเขา อยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่ วันหนึ่งไม่มีอะไรจะกิน ต้องเฉือนเนื้อตัวเองไปทำกับข้าว ผมได้ฟังถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่า "จะเป็นไปได้อย่างไร" ลองคิดดูว่าทำไม ไม่ไปหาเผือกหามันมากินล่ะ...แล้วเฉือนเนื้อแบบนั้น ดูสะเทือนใจเกินไปไหม แล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
อีกเรื่องที่คุณย่าเล่า เกี่ยวกับสมัยก่อนมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่ากาลครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์กวนอิม ได้แปลงกายเป็นยายแก่ ๆ ถือตะกร้าใบเดียว สภาพยากจน ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไปขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่มีใครสนใจ กระทั่งมาเจอบ้านหนึ่งที่มีสภาพยากจน แต่ก็พยายามจัดหาอาหารมาต้อนรับ ช่วยเหลือเท่าที่มี จากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงทรงแสดงพระวรกายให้เห็นและโปรดประทานพรให้เขาและครอบครัวเจริญก้าวหน้าร่ำรวยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...
ซึ่งหลังจากได้ฟังแล้ว ผมก็คิดว่า ทำไมท่านช่วยเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ถ้าพระโพธิสัตว์เมตตาจริง ๆ น่าจะกรุณาช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้ด้วย นึกในใจว่าเรื่องนี้ก็ดูเป็นเรื่องเล่าเพื่อสอนใจคนมากกว่า
พอดีได้ดูหนังเรื่อง LIFE OF PIE
(ระวังสปอยล์ S P O I L.....)
ที่ตอนจบ มีการทิ้งท้ายให้คนดูคิดเอาเองว่าจะเลือกเชื่อเรื่องไหน เมื่อผมนำมาคิดเทียบเคียงกับเรื่องเล่าของคุณย่าแล้ว ผมเชื่อเรื่องเล่าของท่าน ไม่ว่าจะมีข้อเท็จจริงว่าเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือ ผมฟังโดยไม่เถียงเรื่องเหตุผลกับท่าน ท่านก็เล่าและเชื่อในเรื่องนี้อย่างมีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
เรื่องเล่าทั้งสองเรื่องนั้น อาจจะดูไม่สมบูรณ์แบบสำหรับคนสมัยใหม่อย่างผมที่คิดหาเหตุผลและข้อเท็จจริง
แต่คุณย่าท่านเล่าแบบออกรสแบบเชื่อจริง ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น
ซึ่งสุดท้ายผมก็คิดว่าไม่ได้มีผิดมีถูก
หรือทำไมจำเป็นต้องหาบทสรุปหรือข้อเท็จจริงหรือข้อพิสูจน์ให้ชัดเจนด้วย
ในเมื่อเจตนาของเรื่องหรือสาระที่เรื่องราวสื่อสารมายังผู้ฟังนั้น
เป็นเรื่องสอนใจได้อย่างดี ไม่ว่าเรื่องจะถูกเล่าเช่นไร แต่ความจริงที่เป็นแก่นแท้นั้น ถูกสืบต่อมาทุกยุคสมัยผ่านเรื่องเล่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะดูเหลือเชื่อแค่ไหนก็ตามที เรื่องนี้พิสูจน์ได้โดยดูจากเรื่องเล่าที่เป็นตำนานมหัศจรรย์ของชนชาติและศาสนาต่าง ๆ สารสุดท้ายที่เป็นใจความก็คือ การสอนใจในเรื่องการทำความดีกับผู้อื่น
แม้ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ที่ก้าวไกล บางเรื่องก็เริ่มจากจินตนาการก่อนแม้ตายังไม่เห็น แต่คิดว่ามันเป็นไปได้หรืออาจมีอยู่จริง เช่น การเดินทางข้ามกาลเวลา และเรื่องพหุภพ (Multiverse)
ว่าแล้วก็คิดถึงตอนตัวเองเป็นเด็ก เราหลบใต้โต๊ะ แต่จินตนาการว่าอยู่ในยานอวกาศ ยิงจรวดไปยังดาวอื่น ซึ่งก็คือโต๊ะฝั่งตรงข้าม...ผู้อ่านหลายคนน่าจะเคยมีจินตนาการแบบต่าง ๆ ในวัยเด็กแบบนี้เช่นกัน
โลกของเรา ยังมีมุมของจินตนาการและความฝัน ความเชื่อและความศรัทธา หลอมรวมกันไปกับเหตุผลบ้าง ไม่รวมบ้างก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราและคนที่เรารักมีความสุขและได้ประโยชน์ได้ข้อคิดจากเรื่องราวเหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องนำข้อเท็จจริงหรือหลักของเหตุและผลไปคัดง้างจนชนะทางเหตุผลแต่ล่มสลายทางความสัมพันธ์ ชีวิตคนเราก็มีหลายเรื่องที่เป็นแบบนี้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้จิตใจนำทาง...
(อัปเดต 28/6/2565) ผมกลับมาอ่านโพสต์ผมเองอีกครั้ง เมื่อ 6 ปีผ่านไป เติบโตขึ้นตามวัยวุฒิ ผู้อ่านเชื่อไหมว่าความคิดผมก็เปลี่ยนไปด้วย จากเรื่องที่คุณย่าเล่าไว้ข้างบนนั้น บัดนี้ผมมีความเข้าใจที่ต่างไปจากเดิม ความยากแค้นของคนเราล้วนไม่มีใครคาดถึง และอย่าใช้ความคิดเราไปตัดสินเรื่องคนอื่นว่าเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง...เหมือนคนอื่นก็ยากที่จะเข้าใจกับเรื่องราวหรือความยากลำบากที่เราประสบมาด้วยตนเอง ทำนองว่าไม่เจอเองก็ไม่รู้ ผมอ่านความคิดตัวเองเมื่อ 6 ปีก่อนก็ตลกความคิดตอนนั้นนะ ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังหรือตัดพ้อต่อพระโพธิสัตว์แล้วว่าทำไมไม่ได้ช่วยเหลือคนทั้งหมด คือรเาต้องแยกให้ออกว่าโลกของความเป็นจริงกับโลกของปัญญาความคิดเป็นคนละเรื่องกัน แต่การมีเมตตา มีความหวัง และศรัทธาในความดี อย่างจิตใจของพระโพธิสัตว์ ถ้าทุกคนทำได้ โลกเราย่อมสงบสุขแน่นอน) เอาล่ะ ผมมาบันทึกความคิดไว้เท่านี้ก่อน แล้วก็อัปเดตใส่ชื่อคุณย่าของผมด้วย ผมอยากให้ชื่อของท่านปรากฏเป็นตัวหนังสือ วันใดวันหนึ่งมีลูกหลานตระกูลแต่สุขะวัฒน์ผ่านมาเจอ จะได้รู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ ซึ่งผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำ บ้านของเราในอีกบล็อกหนึ่งในรูปแบบของกึ่งนิยาย ชื่อบล็อกว่า "ซุ่นเฮง 331 มิตรพันธ์ วงเวียน22" https://soonheng331.blogspot.com/ ใครสนใจก็มาติดตามอ่านกันได้นะครับ (เขียนโดยตี๋ หลานคุณย่า 鄭 文 彬)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น